แหล่งข้อมูลนโยบายการโฆษณา
ภาษี
ใบแจ้งหนี้
ธุรกรรม
ข้อมูลการเรียกเก็บเงิน
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2021 กระทรวงการคลังเวียดนามได้เผยแพร่หนังสือเวียน 80/2021/TT-BTC ซึ่งชี้แนะแนวทางการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารภาษีและพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาล 126/2020/ND-CP ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2022
เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายภาษีท้องถิ่นและปรับแนวทางปฏิบัติในตลาดเวียดนามให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น TikTok Pte. Ltd. ("TikTok") ดำเนินการจดทะเบียนภาษีเวียดนามและมีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นภาษีในเวียดนามสำหรับการจัดหาโฆษณา TikTok ให้กับลูกค้าทุกคนสำหรับการเรียกเก็บเงินกับบัญชีตัวจัดการโฆษณาบน TikTok ที่กำหนดประเทศเป็นเวียดนาม
ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2024 ธุรกรรมการซื้อทั้งหมดที่คุณดำเนินการในเวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ("VAT") 5% เพิ่มเติมจากยอดใช้จ่าย เราจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการเก็บรวบรวม รายงาน และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ("VAT") ของเวียดนามในการซื้อของคุณ
โปรดทราบว่าอัตราภาษีมาตรฐานของ VAT คือ 5% ฐานภาษีสำหรับการคำนวณภาษีคือรายได้ที่ได้จากการซื้อในเวียดนาม ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างการคำนวณภาษี:
ยอดคงเหลือในบัญชี | 1,000 |
VAT ที่เรียกเก็บ (5%) | 50 |
การชำระเงินทั้งหมด | 1,050 |
หากคุณเป็นองค์กรที่จดทะเบียนภาษีในเวียดนาม เราขอแนะนำให้คุณไปที่การตั้งค่าบัญชีตัวจัดการโฆษณาบน TikTok เพื่อตั้งค่าสถานะภาษีเป็นธุรกิจที่จดทะเบียน VAT และกรอกหมายเลขภาษีที่ถูกต้องในช่องหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หมายเลขภาษีจะเพิ่มไปยังใบแจ้งหนี้ของคุณ รูปแบบของหมายเลขภาษีควรเป็นหมายเลข 10 หรือ 13 หลัก ตรวจยืนยันว่าหมายเลขภาษีสามารถตรวจสอบได้ตามพอร์ทัลการจดทะเบียนธุรกิจแห่งชาติของเวียดนาม คุณจะเป็นผู้รับผิดชอบความถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว เราจะไม่ยอมรับการออกใบแจ้งหนี้ใหม่ในกรณีที่ข้อมูลที่คุณกรอกไม่ถูกต้อง
หากคุณไม่ใช่องค์กรที่จดทะเบียนภาษีในเวียดนาม คุณไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ
เราขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่คุณเข้าใจและให้ความร่วมมือ
หมายเหตุ: เอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำด้านภาษีแต่อย่างใด แต่มีไว้เพียงเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า TikTok จะออกใบแจ้งหนี้ให้คุณภายใต้สถานะการจดทะเบียนภาษีของคุณอย่างไรตามเอกสารจำเป็นที่ให้ไว้กับเรา คุณต้องรับผิดชอบในการรายงานหรือหัก ณ ที่จ่ายและชำระเงินทั้งหมดสำหรับความรับผิดทางภาษีที่กฎหมายกำหนดให้คุณต้องทำ เอกสารฉบับแปลเป็นภาษาไทยมีไว้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น และเอกสารฉบับภาษาอังกฤษจะมีผลบังคับใช้เหนือกว่า หากมีข้อแตกต่างระหว่างสองฉบับ